สัมภาษณ์พิเศษ ผู้กำกับ "โซระ โฮคิโมโตะ" จากภาพยนตร์เรื่อง Visit Me in My Dreams

 

ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Visit Me in My Dream (はだかのゆめ หรือ Hadaka-no-Yume) เล่าเรื่องราวของ "โนโระ" เด็กหนุ่มคนหนึ่ง กับคุณแม่ของเขาที่กำลังป่วยและเสียชีวิตในไม่ช้า อาศัยอยู่ที่จังหวัดโคจิ เกาะชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ world premiere ภายใต้กลุ่ม Nippon Cinema Now ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ครั้งที่ 35 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ด้วยความอนุเคราะห์จากคณะกรรมการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ รวมทั้งค่ายหนังบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ เราได้รับอนุญาตให้เข้าสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวกับคุณโซระ โฮคิโมโตะ ผู้กำกับภาพยนตร์ และเขายังเป็นนักร้องนำวง Bialystocks ศิลปินเจป็อปชื่อดังของญี่ปุ่นด้วย คุณโซระจะมาเล่าเบื้องหลังงานสร้างหนัง แรงบันดาลใจ และการผสมผสานงานดนตรีกับงานภาพยนตร์ในผลงานเรื่องล่าสุดของเขากัน

inStyle Asia: อะไรคือเหตุผลหลักที่คุณตัดสินใจทำหนังเรื่องนี้ครับ?

โซระ โฮกิโมโตะ: ผมย้ายไปอยู่ที่จังหวัดโคจิเมื่อ 5 ปีก่อน อาศัยอยู่กับคุณตาและคุณแม่ที่กำลังป่วยหนักเหมือนในหนังเลยครับ แม่ของผมอาศัยอยู่ที่จังหวัดโคจิ ผมจึงกลับไปยังบ้านเกิดของแม่ แล้วอาศัยอยู่ด้วยกันครับ เหตุผลหลักในการทำหนังเรื่องนี้ คือ ผมอยากเก็บความทรงจำที่ได้รับจากคุณตาและคุณแม่ครับ

inStyle Asia: ช่วยเล่าแนวการกำกับภาพยนตร์ในแบบของคุณได้ไหมครับ?

โซระ โฮกิโมโตะ: ก่อนอื่นขอพูดถึงบทภาพยนตร์ แรกสุดเลยตอนที่ผมย้ายไปอยู่ที่จังหวัดโคจิ สิ่งแรกที่ผมคิดทำ คือ การจดบันทึกคำพูดของคุณตา คุณตาเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านในจังหวัดโคจิ เป็นภาษาถิ่นโคจิ ผมได้จดบันทึก และอยากนำเสนอด้วยมุมมองของคนนอกพื้นที่ ผมจึงเขียนเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับคุณตาในฐานะคนต่างถิ่นครับ พอผมได้กำกับหนังเรื่องนี้ ด้วยเหตุที่มันเป็นเรื่องราวที่ใกล้ตัวผมที่สุด ผมภ่ายทอดสาระสำคัญระหว่างเนื้อหาในหนังกับตัวผมเองให้ผู้ชมเข้าถึง นี่คือวิธีการที่ผมกำกับหนังเรื่องนี้ครับ

ระหว่างอาศัยอยู่ที่จังหวัดโคจิ ผมเห็นผู้คนที่นั่นใช้ชีวิตประจำวัน ผมเริ่มฉุกคิดและเข้าใจว่าพวกเราอาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติ และกาีเแลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ อย่างเช่น คุณตาของผมมักอาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ อาศัยอยู่กับธรรมชาติจริงๆ

ที่เมือง "ชิมันโทจิ" (Shimanto-shi, 四万十市) ในจังหวัดโคจิ มีแม่น้ำที่น้ำใสสะอาดมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นแม่น้ำที่ไม่ถูกปิดล้อมด้วยเขื่อนเลย มีทางข้ามน้ำช่วงน้ำลง โดยไม่มีการสร้างทำนบหรือเชิงเทิน ปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ นั่นหมายความว่าผู้คนไม่ต้องสู้กับธรรมชาติหรือภัยพิบัติจากธรรมชาติ ผมรู้สึกประทับใจกับแนวคิดนี้ รวมทั้งผู้คนในจังหวัดโคจิเป็นอย่างมาก

วิธีการกำกับหนังของผมก็เช่นกัน ผมไม่พยายามเดินหน้าไปตามตารางที่กำหนดอย่างเคร่งครัด หากผมทำเช่นนั้น เราก็ทำหน้าที่แค่เพียงเล่าเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในหมู่บ้านแห่งนี้ ผมไม่อยากให้หนังของผมออกมาแบบนั้น ผมจึงกำกับหนังเรื่องนี้ด้วยการมองข้ามบทหนัง แต่ถ่ายทำไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ หากวันไหนอากาศแปรเปลี่ยน ผมก็เดินหน้าถ่ายทำไปด้วยกันกับธรรมชาติครับ

InStyle Asia: สถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดโคจิใช่ไหมครับ เมืองอะไรครับ?

โซระ โฮกิโมโตะ: ใช่ครับ เราถ่ายทำกันที่เมืองชิมันโทชิ (Shimanto-shi city, 四万十市)


inStyle Asia: แล้วเหตุผลในการคัดตัวนักแสดงนำ คนที่มารับบทเป็นลูกชาย และคุณแม่ล่ะครับ?

โซระ โฮกิโมโตะ: ผมได้เห็นนักแสดงทั้งสองคนจากหนังเรื่องอื่น ผมรู้สึกประทับใจน้ำเสียงและการเคลื่อนไหวของนักแสดงสองคนนี้จริงๆ ครับ เพราะคาแรคเตอร์ตัวละครทั้งสองคนนี้ต้องเป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่นขณะอยู่กับคนอื่นๆ เพราะในเรื่อง ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าจริงๆ แล้วทั้งสองคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว ผมชอบบุคลิกสองคนนี้ครับ เลยทาบทามให้มาแสดงในหนังของผม ในสคริปต์ที่ผมเขียน ผมไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวละครผู้มารับบทเป็นคุณแม่ครับ

inStyle Asia: มีโลก 2 ใบทับซ้อนกันอยู่ในภาพยนตร์ พวกเขาต่างแยกกันอยู่ และไม่อาจพบกันได้ ช่วยเล่าถึงไอเดียตรงนี้ให้เราฟังได้ไหมครับ ?

โซระ โฮคิโมโตะ: มันคือโลกของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน กับโลกของผู้คนที่ตายไปแล้วครับ

inStyle Asia: ฉากไหนที่คุณประทับใจที่สุดในหนัง?

โซระ โฮคิโมโตะ: ฉากที่คุณแม่กำลังเดิน แล้วลูกชายเดินมาสัมผัสตัว แต่เขากลับไม่สามารถแตะตัวคุณแม่ของเขาได้ คุณจะเห็นช่องว่างระหว่างตัวละครทั้งสองคนนี้ ในขณะเดียวกัน ผมชอบภาพการเคลื่อนไหวตอนที่พวกเขาเดินมากๆ ครับ ทั้งสองมาเจอกัน เก็บภาพจากจากมุมมองด้านหลังของตัวคุณแม่ เป็นซีนที่พบชอบมากครับ

inStyle Asia: คุณนำเสนอภาพเปลวไฟที่ชาวประมงนำมาล่อ ซึ่งเป็นวิธีจับปลาแบบโบราณของญี่ปุ่น, เหล้าสาเก, เด็กๆ ในชุดกิโมโน แม้แต่ตัวพระเอก "โนโระ" พยายามเล่นซูโม่ กีฬาประจำชาติของญี่ปุ่น คุณต้องการใส่อัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นลงไปในหนังด้วยใช่ไหมครับ?

โซระ โฮคิโมโตะ: ผมเริ่มคิดทำหนังเรื่องนี้ตอนที่ได้บันทึกคำพูดของคุณตาอย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้  สิ่งเหล่านี้ผุดมาจากคำพูดของเขา คุณตาอธิบายวัฒนธรรมและประเพณีของผู้คนในจังหวัดโคจิ อย่างฉากซูโม่ หรือการใช้เปลวไฟล่อจับปลา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในจังหวัดโคจิ ผมอยากอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ และบันทึกไว้ในภาพยนตร์ของผมครับ 

วิธีการจับปลาแบบนี้ที่จังหวัดโคจิ เรียกว่า "ฮิ-บุริ-เรียว" (Hi-buri-ryo, 火振り漁) เหล่าชาวประมงจับปลาตัวเล็กๆ ที่มีชื่อเรียกว่า "อายู" (Ayu, 鮎) ที่มักว่ายมารวมกันเมื่อเห็นแสงไฟ พอชาวประมงยื่นคบเพลิงใกล้ผิวน้ำ ทำให้ปลาอายูว่ายมารวมตัวกัน เป็นวิธีการจับปลาอายูแบบดั้งเดิมของชาวประมงที่จังหวัดโคจิครับ

InStyle Asia: เรายังเห็นฉากการจุดธูปไหว้คนตาย, ผู้คนสนทนาเกี่ยวกับคนเป็นกับคนตาย บางซีนเรายังได้ยินเสียงน้ำไหลหยดเป็นจังหวะ ชวนให้เรานึกถึงปรัชญาทางพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยความอนิจจัง และสุนทรียภาพความงามแบบญี่ปุ่นที่มีชื่อเรียกว่า "วาบิ ซาบิ"  (Wabi Sabi) นิยามความงามจากการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน คุณตั้งใจใส่ประเด็นเหล่านี้ลงไปในหนังด้วยใช่ไหมครับ?

โซระ โฮคิโมโตะ: ผมต้องการสื่อให้เห็นภาพในครอบครัวของผม ตอนที่พวกเขาไหว้คนตาย อย่างการจุดธูปก็เป็นส่วนหนึ่งของการไหว้คนตาย ผมไม่ได้นึกถึงหรือจงใจใส่พระพุทธศาสนาในหนังครับ มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในครอบครัวที่เราต้องทำอย่างนั้น ประเด็นหลัก คือ การไหว้คนตายครับ ไม่ได้สื่อถึงพระพุทธศาสนา ผมต้องการนำเสนอออกมาเป็นภาพว่าพวกเขาสื่อสารกับคนตายอย่างไร และพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนตายได้อย่างไร

InStyle Asia: ฉากต้นเรื่อง เมื่อ "โนโระ" ตัวละครหลักกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เดินไปตามทางอันมืดมิดยามค่ำคืน แต่ในตอนจบ เขานั่งอยู่บนรถไฟ ภาพค่อยๆ ถอยห่างออกจากสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า คุณต้องการนำเสนอประเด็นอะไรสำหรับ 2 ฉากนี้ครับ?

โซระ โฮคิโมโตะ: สำหรับฉากต้นเรื่องนั้น ผมต้องการสื่อให้เห็นว่าเขากำลังหลงทาง เผชิญกับความสูญเสีย เขาไม่อาจจับขบวนรถไฟเที่ยวสุดท้าย มาสายไม่ทันเวลาขึ้นรถไฟ ส่วนในตอนจบนั้น เขาได้ค้นพบอะไรบางอย่าง เราสามารถรู้สึกสิ่งเหล่านี้ได้จากบทพูดของเขาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์กับคนตาย คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขา (คนตาย) อยู่ที่ไหน แต่คุณสามารถ "รู้สึก"ได้ว่าพวกเขายังคงอยู่ หรือบางทีคุณอาจรับสิ่งที่พวกเขาตัองการสื่อได้ มันเป็นความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นเชิงประจักษ์ หรือจับต้องได้ นอกจากนี้ ผมอยากให้ตัวละคร และเนื้อเรื่องของหนังเติมพลังบวกให้ผู้ชมรู้สึกได้ ด้วยเหตุนี้เอง ในตอนจบ "โนโระ" สามารถสื่อถึงตัวคุณแม่ของเขา สามารถรับสิ่งที่คุณแม่ของเขาอยากจะบอกได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาจึงแสดงออกมาว่าได้ "ค้นพบ" อะไรบางอย่าง หรือพูดง่ายๆ คือ เขายอมรับได้แล้วว่าคุณแม่ได้จากโลกนี้ไปแล้วในตอนท้ายเรื่อง


inStyle Asia: โนโระ ตัวละครที่เล่นเป็นลูกชายสวมเสื้อ 2 ชุดในหนัง เขาสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีเบจในตอนต้นเรื่อง จากนั้นเปลี่ยนมาสวมเสื้อสีขาวช่วงกลางเรื่องจนจบ คุณต้องการบอกอะไรจากเสื้อผ้าที่เขาสวมหรือครับ?

โซระ โฮคิโมโตะ: ปกติเราจะสวมเสื้อผ้าสีดำเวลาที่ไว้ทุกข์กัน ผมอยากให้เขาแสดงการไว้ทุกข์ด้วยวิธีการที่แตกต่าง การสวมเสื้อผ้าสีขาวสื่อถึงการเฉลิมฉลอง สำหรับผมแล้ว การไปสุสาน คือ การเฉลิมฉลอง เป็นความสุข คุณจะเห็นชายคนหนึ่งเอาแต่ดื่มเหล้าสาเกจนเมามายในหนัง ผมอยากนำเสนอภาพการไว้ทุกข์ด้วยการแสดงออกที่แตกต่างแบบนั้น วิธีการี่แตกต่างในการสื่อสาร และไหว้คนตาย

inStyle Asia: ช่วยเล่าถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ได้ไหมครับ เป็นเพลงที่ไพเราะมากเลย

โซระ โฮคิโมโตะ: ผมเป็นนักร้องสมาชิกวง Bialystocks (บิอาลี่สต็อกส์) ตอนที่กำลังเขียนบทหนังเรื่องนี้ ผมก็กำลังแต่งเพลงพอดีเลยครับ ผมเขียนบทหนังที่เพื่อทำให้มันออกมาเป็นภาพยนตร์โดยเฉพาะ ผมแต่งเพลงที่เพื่อทำให้มันออกมาเป็นบทเพลงได้ เมื่อผมแต่งเพลงเสร็จ งานภาพยนตร์ก็เสร็จพอดี ผมจึงเอาทั้งสองสิ่งนี้มารวมเข้าด้วยกัน ใส่เพลงที่ผมแต่งลงไปในหนัง สำหรับผมแล้ว ทั้งหนังและเพลงสามารถหลอมรวมเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตอนแรก ผมคิดแต่งเพลงด้วยเครื่องดนตรีอย่างเปียโน ให้ความรู้สึกแบบว่าคุณกำลังฟังเพลงจากหน้าต่างที่แว่วมาจากเด็กชายข้างบ้าน ผมทราบดีว่าหากผมเลือกทำแนวนั้น บทเพลงอาจจะขัดกับการดำเนินเรื่องราวในหนัง ผมจึงตัดสินใจถอยกลับมาทำเพลงแนวสตริงให้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

InStyle Asia: แล้วโปรเจคหนังเรื่องถัดไปล่ะครับ

Sora Hokimoto: แรกเริ่มเดิมที ผมได้ทำหนังเกี่ยวกับการตายของคุณพ่อของผม ไม่ใช่เรื่องราวของคุณแม่ หนังเรื่องถัดไป ผมอยากโฟกัสไปที่การเล่าเรื่อง นำเสนอเรื่องราวหรือประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตผม เป็นเรื่องราวที่แยกหนังออกจากชีวิตส่วนตัวของผมครับ

inStyle Asia: บอกได้ไหมครับว่าเป็นหนังแนวไหน?

โซระ โฮคิโมโตะ: ตอนนี้ ผมยังมีไอเดียทำหนังเรื่องใหม่ไม่มากนัก และตอนนี้ผมก็ทำงานดนตรีในวงด้วย หนังเรื่องใหม่อาจเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสงครามกับดนตรี หรือไม่ก็โฟกัสไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ดูการเปลี่ยนแปลงว่าจะพัฒนาต่อไปอย่างไร ผมอยากทำหนังที่มีดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญครับ

InStyle Asia: ขอบคุณมากครับที่เรา ได้รับโอกาสได้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ บทเพลงในหนังของคุณก็ไพเราะจริงๆ รวมทั้งเรื่องราวในหนังที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก จับใจผู้ชม เราหวังว่าจะได้ชมภาพยนตร์เรื่องถัดไปของคุณเร็วๆ นี้ครับ

เกี่ยวกับภาพยนตร์ 

เรื่องย่อ: เรื่องราวของ "โนโระ" เด็กชาย, คุณแม่ และคุณตาที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ณ ดินแดนแห่งหนึ่งที่ "คนเป็น" ได้ตายจากไป และ "คนตาย" กลับมีชีวิตอยู่ เด็กชายใช้ชีวิตวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวคุณแม่ของเขาที่เจ็บป่วยและกำลังจะเสียชีวิต เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกที่ห่วงใยกันและกัน ทั้งที่ทั้งสองต่างมีระยะห่างแลดูยากจะเข้าถึงกันได้

เรื่อง: Visit Me in My Dreams (ภาษาญี่ปุ่น: はだかのゆめ)
ผู้กำกับ/ ผู้เขียนบท/ผู้ตัดต่อ: โซระ โฮคิโมโตะ 
นักแสดงนำ: ยูซุ อาโอกิ, มิฮาโกะ ทาดาโนะ, เคนตะ มาเอโนะ, ทาคาฮิเดะ โฮคิโมโตะ 
วันฉายทั่วประเทศ: 25 พฤศจิกายน 2022
ภาษาที่ใช้: ภาษาญี่ปุ่น 
อินสตาแกรมหลักVisit Me in My Dreams  
เว็บไซต์หลักVisit Me in My Dreams

เกี่ยวกับผู้กำกับภาพยนตร์ 

โซระ โฮคิโมโตะ (เกิดปี 1992〜) เปิดตัวผลงานภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 2016 กับเรื่อง "ฮารุเนโกะ" (Haruneko) และยังเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเชิญให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติร็อตเตอร์ดัม ครั้งที่ 46 ด้วย ต่อมาในปี 2019 โซระได้ตั้งวงดนตรีเจป๊อปมีชื่อว่า Bialystocks (บิอาลี่สต็อกส์) ปัจจุบัน เขายังคงค้นหาแนวหนังใหม่ๆ ทำให้ดูแตกต่างไปจากเดิม

©PONY CANYON

ภาพ/เรื่อง: inStyle Asia

No comments

Post a Comment

©2024 inStyle Asia All Rights Reserved.
Designed by Creatopia Space