สัมภาษณ์พิเศษ กับฮันโน โยชิฮิโระ ผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง Lightning Over the Beyond

ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Lightning Over the Beyond (Éclairs sur l'Au-Delà... หรือ 彼方の閃光/ Kanata no Senkō ในชื่อภาษาญี่ปุ่น) หนึ่งในภาพยนตร์ที่เปิดตัวรอบปฐมทัศน์ครั้งแรกในโลกในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ครั้งที่ 35 จัดอยู่ในกลุ่ม Nippon Cinema Now ด้วยความเอื้อเฟื้อจากองค์กรเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว รวมทั้งเทศบาลมหานครโตเกียว และค่ายหนังผู้สนับสนุนหลักการจัดงาน เราได้รับเกียรติเข้าสัมภาษณ์พิเศษกับคุณฮันโน โยชิฮิโระ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มาแบ่งปันประสบการณ์การถ่ายทำหนังพร้อมเผยแนวคิดเบื้องหลังการถ่ายทำแบบที่เราไม่เคยทราบมาก่อน ทั้งนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่จับตามองในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงนำอย่างกอร์ดอน มาเอดะ นักแสดงชื่อดังชาวญี่ปุ่น (น้องชายของอาราตะ แมคเคนยู) ที่ทุ่มสุดตัวกับภาพยนตร์แนววายเป็นครั้งแรก

ผู้กำกับฯ ฮันโน โยชิฮิโระ หลังให้สัมภาษณ์ 

inStyle Asia: อะไรคือเหตุผลหลักที่คุณตัดสินใจทำหนังเรื่องนี้หรือครับ และทำไมถึงเลือกนำเสนอในรูปแบบภาพขาวดำครับ?

ฮันโน โยชิฮิโระ: ไอเดียเริ่มแรกเลยเกิดจากความคิดของตัวผมเองที่ตั้งคำถามว่า "ภาพยนตร์คืออะไร?" คำตอบที่ผมค้นพบก็คือ แสงสว่างที่ถูกปลุกให้ลุกโชน หรือแสงสว่างที่กำลังเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ผมคิดว่าไอเดียนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างหนังขึ้นมาสักเรื่องนึง


ถามถึงคอนเซ็ปต์ตัวหนัง ทำไมผมถึงเลือกทำหนังแบบนี้หรือ เราพูดถึงหนังที่เริ่มต้นด้วยความมืดมิด ผมอยากเห็นผู้ชมได้รับประสบการณ์ในแบบที่พวกเราได้เห็นโลก รวมทั้งสิ่งที่ตัวผู้กำกับเห็น บนโลกที่เต็มไปด้วยสีสรร ผมอยากให้ผู้ชมร่วมออกเดินทางในแบบเดียวกัน เริ่มต้นจากความว่างเปล่า (ความมืด) ไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยสีสรร ผมคิดว่าแนวคิดนี้เป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่ดีที่เราเลือกนำเสนอบนจอเงิน อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่เราได้ตอนนั้นมันเป็นภาพต้นแบบทางศิลปะ ผมจึงคิดต่อไปว่าแล้วทำไมเราไม่ทำหนัง ให้ตัวละครมาถ่ายทอดเรื่องราวอย่างละครชีวิตล่ะ 

เพื่อให้สิ่งที่ผมคิดเป็นไปได้ ผมทำหนังด้วยแนวคิดที่ว่า "จงปล่อยให้ผู้เล่าเรื่องที่ตาบอดตั้งแต่แรกเกิดถ่ายทอดเรื่องราว โดยมีกล้องถ่ายรูปเป็นเสมือนดวงตาของเขา" มองโลกและต้องการเปลี่ยนโลกด้วยมุมมองของผู้เล่าเรื่อง เราทราบจากเนื้อเรื่องแล้วว่าเขาได้รับการผ่าตัดดวงตา จนกลับมามองเห็นเป็นครั้งแรก แต่โลกที่เขาเห็นมีเพียงสีขาวและสีดำเท่านั้น ผู้ชมรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของเด็กหนุ่มคนนี้ตลอดเวลากว่า 49 นาทีในช่วงแรก เขาอยู่ในโลกที่มีเพียงสีขาวและสีดำ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะกลับมาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสรรในท้ายที่สุด

กอร์ดอน มาเอดะ นักแสดงนำในเรื่อง 

inStyle Asia
: คุณมีชื่อเสียงมากในฐานะนักประพันธ์เพลงในวงการเพลงของญี่ปุ่น ช่วยเล่าแรงบันดาลใจให้เราทราบได้ไหมครับว่าทำไมถึงเลือกทำหนังในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ และคุณสามารถประยุกต์ประสบการณ์จากการทำเพลงให้กับหนังเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง

ฮันโน โยชิฮิโระ: อืม... แรกสุดเลย พูดถึงสิ่งที่ผมคิดนะ ผมคิดว่างานดนตรีคือสื่อเพลง และในทางกลับกัน สื่อเพลงก็คืองานดนตรี ส่วนภาพยนตร์นั้นเกี่ยวพันกับองค์ประกอบเรื่องเวลาที่เราพยายามถ่ายทอด และบอกเล่าบางสิ่งบางอย่างให้กับผู้ชม ผมคิดว่ามันมีความทับซ้อนกันอย่างมากสำหรับสื่อทั้งสองนี้ครับ

อิเคอุจิ ฮิโรยูกิ นักแสดงนำในภาพยนตร์ 

inStyle Asia: แล้วอะไรคือเหตุผลสำคัญที่คุณเลือกนักแสดงนำทั้งสี่คนครับ? 

ฮันโน โยชิฮิโระ: เหตุผลที่ผมเลือกนักแสดงนำทั้งสี่คนนี้ คือ ผมอยากสร้างตัวละครที่มีความแตกต่างตรงกันข้ามกัน ตัวละครแต่ละคนจะมีโลกทัศน์ที่เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนมีหลักการในแบบของตัวเอง และเข้าใจโลกในมุมมองของตัวเอง นี่คือเหตุผลหลักที่ผมคัดตัวนักแสดงทั้งสี่คน เลือกตามแบบวิถีที่พวกเขาเป็นครับ

พูดถึงสคริปต์บทพูดที่สะท้อนความเป็นตัวตนของผมมากๆ นั่นคือ บทพูดของนักแสดงที่ชื่อ "โชเก็น" ในภาพยนตร์เขารับบทเป็นไกด์ทัวร์นำเที่ยวในโอกินาว่า ที่เอ่ยว่า "ศัตรูคืออะไร?" มันไม่ใช่ว่าใครคือศัตรูของเรา แต่เรากำลังตั้งคำถามว่า "อะไรกันแน่ที่เป็นศัตรูของเรา" เป็นคำถามที่สะท้อนสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ  ตัวละครทั้งสี่คนนี้มีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ ผมคิดว่าหลักการของพวกเขาไม่มีอะไรถูกหรือผิด ไม่มีใครถูกใครผิด ท่ามกลางความดุดันของตัวละครแต่ละคนที่้เดินทางร่วมกัน คุณจะเห็นว่าแต่ละคนต่างยึดหลักการและมุมมองของตัวเอง ผมอยากให้ผู้ชมมองตัวละครทั้งสี่คนนี้ แล้วรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นอีกประสบการณ์ที่ผมอยากแบ่งปันให้ผู้ชมครับ

ผมคิดว่าตัวละครทั้งสี่คนนี้ถูกทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็ตามแต่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ร่วมกันไม่ได้  อย่างไรก็ตาม หากผมอยากเสนอหลักการอะไรสักอย่างนึงที่ผมแน่ใจว่าไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ นั่นคือ ข้อเท็จจริงที่ว่าสงครามเป็นสิ่งที่ผิด มันเป็นสิ่งผิดอย่างที่คุณได้เห็นตัวละครกล่าวถึงในตอนท้ายเรื่อง สงครามทำให้มนุษย์ต้องประหัตถ์ประหารกัน เหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงเป็นสิ่งที่ผิด ลองมองหนังเรื่องนี้อย่างผิวเผิน จะเห็นว่าไม่มีใครพูดว่าการฆ่าคนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเลย แต่ทว่า หากการฆ่ากันถูกยกระดับจนกลายเป็นสงคราม เราก็สามารถตัดสินความถูกผิดให้พวกเขาได้ แต่ถ้ามีหลักการที่ถูกต้องสนับสนุนการทำสงคราม ก็ไม่มีใครช่วยได้ เราจำต้องออกไปรบ ไม่มีทางที่เราจะพูดว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องถูกต้อง นี่คือหลักการหนึ่งเดียวที่ผมอยากนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

คาโตะ มาซายะ นักแสดงนำในเรื่อง 

inStyle Asia: ทำไมคุณถึงเรื่องทำหนังแนวโร้ดมูฟวี่ครับ?

ฮันโน โยชิฮิโระ: ผู้เล่าเรื่องเป็นเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีนามว่า "ฮิคารุ" เขาอาศัยอยู่ในโลกที่มีแต่สีขาวและสีดำ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มทั่วไป เขาออกค้นหา เพื่อให้ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่ตนยังไม่เคยเห็น และนำทางให้เขาเดินทางไปสำรวจ เช่น หนังสือภาพถ่ายที่เป็นแรงผลักดันให้เขาเดินทางไปเมืองนางาซากิและโอกินาว่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแก่นหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นดราม่าแบบจัดหนัก แต่มันคือหนังของคนที่กำลังเจริญวัย เปลี่ยนผ่านช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ไม่ได้ล็อคอายุสำหรับวัยใดวัยหนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นตัวละครที่สามารถเป็นได้ทุกช่วงอายุ หากคุณนิยามคำว่า "วัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน" ผมคิดว่ามันคือช่วงเวลาของคนที่มีเสน่ห์ในการใช้ชีวิต เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการค้นหา ผมอยากบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านภาพยนตร์แนวโร้ดทริปครับ

Awitch นักแสดงนำในภาพยนตร์

inStyle Asia: คุณพูดถึงประเด็นสงครามและสันติภาพ, รักร่วมเพศ, ปัญหามลภาวะเป็นพิษ, ภัยโรคระบาด, การกลั่นแกล้ง และโลกในอนาคต ทั้งหมดถูกนำเสนอในหนังเรื่องนี้ อะไรคือความคิดของคุณที่จับประเด็นเหล่านี้มาใส่ในหนังครับ? 

ฮันโน โยชิฮิโระ: พูดถึงโลกอนาคตยุคปี ค.ศ. 2070 ที่คุณเห็นในช่วงที่สามของหนัง ผมไม่อยากสร้างหนังแนวภาพยนตร์ไซไฟล้ำยุค ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นมันมีโอกาสมากๆ ที่จะเกิดขึ้นจริงครับ  มันเป็นสิ่งที่ผมได้พูดคุยและผ่านการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ เราพยากรณ์ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นจริงและส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในโลกยุคอนาคตครับ

สิ่งที่เราได้เห็นจากหนังอย่างวัตถุสังเคราะห์จำพวก "ไมโครพลาสติก" ที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างมหาศาล สารสังเคราะห์เหล่านี้ตกลงแม่น้ำและทุ่งหญ้า กลายเป็นอาหารของเหล่านกและสิงสาราสัตว์ รวมทั้งเข้าไปสะสมในร่างกายมนุษย์ มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากๆ และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออุณหภูมิบนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อากาศบนโลกสูงเพียงแค่ 2 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิระดับน้ำทะเลจะอยู่ที่ 0.5 องศาเซลเซียส และระดับพื้นดินจะอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส หรืออุ่นกว่าแค่ 5 องศาเซลเซียสเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้คนจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมและคลื่นยักษ์สึนามิ อย่างที่เราได้เห็นในหนัง ผู้คนอาศัยอยู่บนภูเขาสูงซึ่งเป็นสถานที่ที่มนุษย์สามารถปะทังชีวิตให้อยู่รอดได้

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต่างพยากรณ์แนวโน้มในอนาคตอีกว่า หากใครที่เป็นอภิสิทธิ์ชนก็จะได้อยู่บนภูเขาสูง แต่หากไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ก็จะอาศัยอยู่ตามเพิงซุ้มที่สร้างขึ้นอย่างที่เห็นในภาพยนตร์

ผู้กำกับฯ ฮันโน โยชิฮิโระ 

inStyle Asia
: คุณนำเสนอเรื่องราวจากอดีต ปัจจุบัน จนถึงโลกอนาคต ทำไมคุณถึงเลือกปี ค.ศ. 2009 (อดีต) และปี ค.ศ. 2070 (อนาคต) ครับ?

ฮันโน โยชิฮิโระ: เราตั้งเวลาไว้ที่ปี ค.ศ. 2009 และปี ค.ศ. 2070. ในช่วงที่ 2 ของหนัง ผมอยากให้เด็กหนุ่มมีอายุย่างเข้า 20 ปีพอดีก่อนเกิดภัยโรคระบาด ดังนั้น ผมจึงคำนวณปีให้พอดีกับเหตุการณ์ในตัวหนัง มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เพื่อถ่ายทอด ประสบการณ์ของตัวละครผ่านงานศิลปะ, ภาพวาด, ภาพถ่ายจากคนรุ่นนั้นที่อยู่ซึมซับกับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นจริงๆ  และตัวเขาเองก็พยายามที่จะเข้าถึงช่วงเวลานั้นๆ เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องย้อนเวลากลับไปยังเหตุการณ์ในปี 2009 และข้ามเวลาไปยังปี 2070

ผมนำเสนอเรื่องราวด้วยแนวคิดเกี่ยวกับสงคราม แต่ผมไม่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวสงครามในตัวหนัง พวกเราย้อนเวลากลับไปยังอดีต เพื่อสร้างยุคแห่งสันติภาพ ผมอยากบอกเล่าและนำเสนอมุมมองเหล่านี้จากยุคปัจจุบัน ย้อนภาพในอดีตและเหลียวมองสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต และกล่าวถึงสันติภาพว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่

รวมทั้งสถานที่ถ่ายทำที่เราเลือก เช่น เมื่อนักแสดง "โชเก็น" พาเที่ยวสถานที่ต่างๆ บนหมู่เกาะโอกินาว่า ไปชมภาพเขียน กระจก และบางสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างถ้ำที่พวกเขาเข้าไปนั้น โชเก็นได้พูดถึงทหารญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก และพลีชีพที่นั่นในช่วงสงครามเย็นที่คนนอกพื้นที่แทบไม่มีใครรู้เลย มันเป็นสถานที่ที่คุณสามารถเข้าไปชมด้านในได้ ขณะพาเที่ยว โชเก็นยังพูดถึงร่างมนุษย์ที่ติดอยู่ในถ้ำ มันเป็นสิ่งที่อยู่ในสถานที่เหล่านี้จริงๆ และผู้ชมก็สามารถเดินทางไปดูได้ด้วยตัวเองครับ

การเฝ้ามองและติดตามการผจญภัยของเด็กหนุ่ม เป็นสิ่งที่ผู้ชมในยุคปัจจุบันสามารถสัมผัสและตามรอยเขาไปยังสถานที่เหล่านั้นได้จริง เรามุ่งนำเสนอสถานที่ที่เป็นไฮไลท์เด่น หากคุณมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้ คุณก็จะได้รับประสบการณ์ในสิ่งเดียวกัน

โชเก็น นักแสดงนำในภาพยนตร์

inStyle Asia: เมื่อไรที่หนังเรื่องนี้จะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศญี่ปุ่นครับ? (แฟนคลับกอร์ดอน มาเอดะ นักแสดงนำในต่างประเทศต่างก็เฝ้ารอชมภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน)

ฮันโน โยชิฮิโระ: การเดินทางสำหรับจัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ยังไม่เริ่มเลยครับ (หัวเราะ) เรายังไม่ได้ตัดสินใจครับ หากเราทำงานกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เพื่อทำหนังสักเรื่อง มันก็จะเป็นเรื่องเชิงธุรกิจ แน่นอนว่ามันจะมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ชะลอการทำงานของเรา สำหรับโปรเจ็คหนังเรื่องนี้ เราไม่ต้องการเดินไปในเส้นทางสายนั้น เราไม่ได้ตั้งใจทำหนังเรื่องนี้เพื่อผลตอบแทนทางธุรกิจซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งกว่า ผมอยากทำหนังสักเรื่องที่ทีมงานคนสร้างรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ และมองความเป็นไปได้ว่าเราสามารถทำอะไรร่วมกับผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ได้บ้าง หรือหาพันธมิตรสถานที่ฉายหนังเพื่อให้ผู้คนได้มาชมกัน การเดินทางของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่งจะเริ่มต้นครับ 

กอร์ดอน มาเอดะ นักแสดงนำในภาพยนตร์

inStyle Asia: กอร์ดอน มาเอดะ ตัวเอกของเรื่องนอกจากญี่ปุ่นแล้ว เขาเป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกลุ่มแฟนคลับที่ไทยด้วย หวังว่าหนังเรื่องนี้จะได้เข้าฉายในประเทศไทยนะครับ

ฮันโน โยชิฮิโระ: ผมไม่เคยเดินทางไปประเทศไทยมาก่อน แต่หวังว่าจะได้เดินทางไปเที่ยวครับ ผมอยากให้หนังได้ไปฉายด้วยครับ

inStyle Asia: ขอบคุณมากครับ

ผู้กำกับฯ ฮันโน โยชิฮิโระหลังเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ที่โตเกียว

ผู้กำกับฯ ฮันโน โยชิฮิโระ 

ผู้กำกับฯ ฮันโน โยชิฮิโระ  

ภาพถ่าย: inStyle Asia


เกี่ยวกับภาพยนตร์ 

เรื่อง: Lightning Over Beyond (ชื่อภาษาญี่ปุ่น: 彼方の閃光)

ผู้กำกับภาพยนตร์: ฮันโน โยชิฮิโระ

นักแสดงนำ: กอร์ดอน มาเอดะ, อิเคอุจิ ฮิโรยูกิ, โชเก็น, คาโตะ มาซายะ, Awich 

วันฉายรอบปฐมทัศน์: 25 ตุลาคม 2022

ภาษาพูดในภาพยนตร์: ภาษาญี่ปุ่น 








No comments

Post a Comment

©2024 inStyle Asia All Rights Reserved.
Designed by Creatopia Space